Musa (ABB) 'Tip Kam'
Tip Kam
-
ต้น ลำต้นเทียมสูงไม่เกิน 3.5-4.0 ม. เส้นผ่านศูณย์กลางมากกว่า 15 ซม. กาบลำต้นด้านนอกสีชมพู มีประสีน้ำตาลหนา ตรงโคนมีสีเขียวอมชมพู กาบลำต้นด้านในสีขาวปนชมพู มีไขมาก
ใบ ก้านใบยาวประมาณ 1.0-1.5 ม. ร่องก้านใบตื้น ใบรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก กว้างประมาณ 25-35 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา ท้องใบมีนวลสีขาว หน้าใบสีเขียวสดเป็นมัน
ดอก ก้านช่อดอกไม่มีขน ใบประดับรูปไข่ค่อนข้างป้อม ปลายมน และม้วนขึ้น ด้านบนสีแดงอมเทา มีนวลปานกลาง ด้านล่างสีแดง การจัดเรียงของใบประดับซ้อนกันไม่มาก เครือห้อยลง
ผล เครือหนึ่งมีประมาณ 7 หวีขึ้นไป หวีหนึ่งมี 10-16 ผล ผลมีขนาดใกล้เคียงกับกล้วยหักมุกและกล้วยส้ม มีเหลี่ยม มีจุกใหญ่แต่สั้นกว่ากล้วยหักมุก ผลสุกมีสีเหลืองอมส้ม เนื้อสีเหลืองอมส้ม มีรสหวาน ไม่มีเมล็ด
พบขึ้นทั่วไปตามป่าธรรมชาติในทุกภาคของประเทศไทย
ไทย
ขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ
ส่วนใหญ่นิยมปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ทางสมุนไพรเท่านั้น
ตำรายาโบราณระบุว่า รากหรือเหง้า อยู่ในพิกัด “ตรีอมฤต” นำไปต้มน้ำดื่ม เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อุจจาระเป็นเลือดเป็นมูก รากหรือเหง้า ผสมสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่มแก้ได้สารพัดโรค ใบแห้ง ใช้มวนกับยาเส้นที่ผสมสมุนไพรอื่นสูบแก้ริดสีดวงจมูก ใบแห้ง ยังเอาไปต้มน้ำอาบเป็นยาแก้ผื่นคันตามตัวตามผิวหนังได้ด้วย ยาพื้นบ้านทางภาคเหนือเอาใบแห้งผสมสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่มแก้ซางปากเปื่อยได้ ใบสด ของ “กล้วยตีบ” ตำพอละเอียด ห่อผ้าขาวบางอังไฟอ่อนๆ เป็นลูกประคบแก้ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อได้ดีระดับหนึ่ง
ไทยรัฐออนไลน์. 2558. ““กล้วยตีบ” กับสรรพคุณน่ารู้”. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา: https://www.thairath.co.th/content/543150 (9 มิถุนายน 2560).
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). 2556. “Musa Xparadisiaca ‘Kluai Tip Noy’ กล้วยตีบ กล้วยตีบมุกดาหาร”. [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://www.thaibiodiversity.org/Life/LifeDetail.aspx?LifeID=76000 (9 มิถุนายน 2560).